ประโยชน์ของการมีสภาวะร่างกายเป็นด่าง...
เขียนโดย : ดร.สุมิตร มณีวรรณกุล
Ph.D. in Biology ที่ Texas A&M University
Postdoctoral Experience: Microbiology & Immunology Dept., Texas A&M Health Science Center 1990-1992
ทางการแพทย์รู้จักกันดี ในกระบวนการที่เรียกว่า Ion Trapping (Garrettson&Geller,1990) เป็นการทำให้ปัสสาวะมี pH มากกว่า 7.5 โดย การฉีดโซเดียมไบคาร์บอเนตเข้าไปในกระแสเลือด ใช้สำหรับผู้ที่ได้รับพิษอย่างเฉียบพลัน โดยจะช่วยให้ร่างกายสามารถขับสารแปลกปลอมออกมาได้ดีขึ้น โดยอาศัยหลักที่ว่าปัสสาวะที่เป็นด่างจะเป็นการป้องกันการดูดกลับของสารแปลก ปลอมโดยท่อไต (Renal Tubules)
วิธีนี้ได้รับการเห็นชอบจากสถาบันพิษวิทยาทางคลีนิคของสหรัฐอเมริกา (American Academy of Clinical Toxicology) และพบว่าวิธีนี้สามารถเพิ่มการขับสารออกมาในปัสสาวะได้มากขึ้น สารที่ศึกษา เช่น Chlorpropamide, Diflunisal, Fluoride, mecoprop, methotrexate, Phenobarbital, Salicylate และ 2,4-dichlorophenoxyacetic acid เป็นต้น (Proudfoot et al,2004)
ตัวอย่างการศึกษา เช่น ในกรณีที่ได้รับ Salicylate ในระดับที่เป็นพิษต่อร่างกาย (Salicylate Poisoning) การให้โซเดียมไบคาร์บอเนต จะทำให้ pH ของปัสสาวะเปลี่ยนไปจาก 6.1 ไปเป็น 8.1 และมีการขับ Salicylate ออกมาทางปัสสาวะเพิ่มจาก 0.08 ลิตรต่อชั่วโมง (หรือ 80 มิลลิลิตรต่อชั่วโมง) ไปเป็น 1.41 ลิตรต่อชั่วโมง (หรือ 1,410 มิลลิลิตรต่อชั่วโมง) ซึ่งเป็นการขับ Salicylate ออกจากร่างกายเพิ่มขึ้นถึง 17 เท่า (Vree et al 1994)
การศึกษาในสัตว์ก็สอดคล้องกับที่พบในมนุษย์ เช่น การศึกษาในหมูโดยการฉีด 2% โซเดียมไบคาร์บอเนตเข้าไปหลังจากได้รับสารพิษ Chratoxin จากเชื้อรา พบว่าทำให้ pH ในปัสสาวะเปลี่ยนจาก 5.7 เป็น 8.3 และทำให้หมูขับสารพิษชนิดนี้ออกมาเพิ่มขึ้นเป็น 22.2% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ให้โซเดียมไบคาร์บอเนตที่ขับออกมาแค่ 9.3% จะเห็นได้ว่าการศึกษาที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงการขับสารแปลกปลอมที่ตก ค้างอยู่ในร่างกาย ออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาวะร่างกายที่เป็นด่าง (Blank&Wolffram,2004)
โดย สรุปแล้วการรับประทานอาหารที่เหมาะสม นอกจากจะทำให้ร่างกายหลีกเลี่ยงจากการเป็นโรคเรื้อรัง และอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ แล้ว ยังทำให้ร่างกายสามารถขับสารที่ไม่ต้องการออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น ทำให้ร่างกายไม่มีสารตกค้างที่เป็นอันตรายอีกด้วย และการกินอย่างเหมาะสมในกรณีนี้ก็ไม่มีอะไรยาก เพียงแค่ทานผัก-ผลไม้ที่ชอบให้มากขึ้นก็เท่านั้นเอง
ใน กรณีที่รับประทานอาหารประเภทที่ทำให้ร่างกายเป็นกรดสูงติดต่อกันหลายครั้ง เช่น อาหารที่มีส่วนประกอบของชีสหรือเนื้อสัตว์จำนวนมาก เช่น พิซซ่า เนื้อย่างเกาหลี ฯลฯ และมีการรับประทานผัก-ผลไม้ไม่มากพอ หรือบางท่านที่ไม่ชอบทานผัก-ผลไม้ สามารถรับประทานอาหารเสริมประเภทที่มีโปตัสเซียม ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นด่างแทนได้
โปตัสเซียม
อาหารส่วนใหญ่ที่เรารับประทานในปัจจุบัน มีปริมาณโปตัสเซียมค่อนข้างต่ำ Food and Nutrition Board of the Institute of Medicine และ Linus Pauling Institute ได้กำหนดปริมาณโปตัสเซียมที่ควรได้รับอย่างเพียงพอในแต่ละวัน (Adequate Intake เรียกย่อๆว่า AI) ไว้ที่ 4.7 กรัม โครงการ Dietary Approaches to Stop Hypertension (Ref 7) ก็ ได้แนะนำให้ร่างกายได้รับโปตัสเซียมในปริมาณเช่นเดียวกันนี้ เพื่อลดความดันโลหิต ป้องกันการเกิดนิ่ว และลดการสูญเสียมวลกระดูกลง การสำรวจพบว่าชายชาวอเมริกันได้รับเพียง 35% ของปริมาณ AI และหญิงชาวอเมริกันได้รับเพียง 50% ของปริมาณที่แนะนำเท่านั้น
แต่ อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ป่วยโรคไต ความดันโลหิตสูง และหัวใจ ตลอดจนถึงผู้ที่ได้รับยาที่มีผลต่อการเพิ่มปริมาณของโปตัสเซียมในร่างกาย ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีโปตัสเซียมในปริมาณสูง เนื่องจากอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ อาการที่อาจพบได้คือ ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลำบาก กระสับกระส่าย สับสน หัวใจเต้นผิดปกติ มีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ เป็นต้น ดังนั้นหากจะบริโภคโปตัสเซียมในปริมาณที่แนะนำไว้ ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
โรคกระดูกพรุน
การศึกษาโดย Aberdeen Prospective Osteoporosis Screening Study (APOSS) มีผู้ร่วมศึกษาในโครงการที่เกี่ยวข้องประมาณ 5,000 คน เป็นการศึกษาเกี่ยวกับผลของการบริโภคผักและผลไม้ที่มีต่อผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน โดยแบ่งผู้ป่วยเป็น 4 กลุ่มตามปริมาณของผักและผลไม้ที่บริโภค ผลก็คือในกลุ่มที่บริโภคผัก-ผลไม้ที่มีปริมาณโปตัสเซียมมากที่สุด จะมีมวลกระดูกหนาแน่นที่สุด (New et al,1997)
อัมพฤกษ์
การศึกษาโดยใช้ชาย 43,000 คนโดยติดตามผลเป็นเวลา 8 ปีพบว่าในกลุ่มที่ได้รับโปตัสเซียมสูงสุด (4.3 กรัมต่อวัน) มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอัมพฤกษ์ลดลงเหลือเพียง 62% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับโปตัสเซียมน้อยที่สุด (2.4 กรัมต่อวัน) (Ascherio et al,1998)
การเกิดนิ่วในไต
เป็น ที่ทราบกันดีมานานแล้วว่า การขาดโปตัสเซียมทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะมากขึ้น เกี่ยวกับเรื่องนี้มีการศึกษาโดยใช้ผู้เข้าร่วมการศึกษาจำนวน 45,000 คน เป็นเวลานาน 4 ปีพบว่าในกลุ่มที่ได้รับปริมาณโปตัสเซียมสูง (4.04 กรัมต่อวัน) มีโอกาสเกิดนิ่วในไตลดลงเหลือเพียง 50% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับโปตัสเซียมน้อยกว่า 2.9 กรัมต่อวัน (Curhan et al, 1993) และมีการศึกษาในหญิงจำนวน 90,000 คนในช่วงเวลา 12 ปีพบว่าหญิงในกลุ่มที่ได้รับโปตัสเซียมสูงสุด (3.5 กรัมต่อวัน) มีโอกาสเกิดนิ่วในไตลดลงเหลือเพียง 65% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับโปตัสเซียมน้อยที่สุด (2.7 กรัมต่อวัน) (Curhan et al, 1997) แหล่งของโปตัสเซียมของทั้งสองการศึกษานี้ได้มาจากการบริโภคผัก-ผลไม้เกือบทั้งหมด
ชนิดของโปตัสเซียมที่ควรใช้
เมื่อ ได้ทราบถึงคุณประโยชน์แล้ว ชนิดของโปตัสเซียมในรูปของอาหารเสริมที่ใช้ ก็ให้ผลที่แตกต่างกันมาก การศึกษาผลของสารที่มีต่อการขับแคลเซียมจากร่างกาย โดยให้ผู้ป่วยรับประทานโปตัสเซียมไบคาร์บอเนต หรือโซเดียมไบคาร์บอเนต วันละ 4-8 กรัมเป็นเวลานาน 2 สัปดาห์พบว่า โปตัสเซียมไบคาร์บอเนตสามารถลดการขับแคลเซียมออกจากร่างกาย ในขณะที่โซเดียมไบคาร์บอเนตไม่สามารถลดการขับแคลเซียมจากร่างกายได้ (Lemann et al,1989; Marangella et al,2004)
การใช้โปตัสเซียมซิเตรทในผู้ป่วยกระดูกพรุน พบว่ามีการเสริมสร้างมวลกระดูกที่สูญหายไปได้ (โดยเฉพาะที่มีผลมาจากรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงเป็นเวลานานๆ) นอกจากนี้การศึกษาในสตรีวัยหมดประจำเดือนก็พบว่า สามารถเพิ่มมวลกระดูกที่สูญเสียไปได้เช่นกัน ในขณะที่โปตัสเซียมคลอไรด์ กลับส่งผลในการลดมวลกระดูกของผู้เข้าร่วมศึกษา (Sakhaee et al,2005; Jehle et al,2006)
ผล ของโปตัสเซียมซิเตรทสอดคล้องกับผลที่ได้จากการบริโภคผักและผลไม้โดยตรง อันที่จริงแล้วโปตัสเซียมซิเตรทก็คือ โปตัสเซียมชนิดเดียวกับที่พบในผักและผลไม้ ดังนั้นหากท่านที่ไม่ชอบรับประทานอะไรชนิดเม็ดที่คล้ายๆกับยา ก็รับประทานผักและผลไม้เถอะครับ เพราะนอกจากจะได้โปตัสเซียมซิเตรทจากธรรมชาติแล้ว ในผักและผลไม้ยังมีสารที่มีประโยชน์อื่นๆอีกมาก เช่น เส้นไยอาหาร สารไฟโตเคมิคัล วิตามิน และเกลือแร่อื่นๆ ที่จำเป็นต่อการสร้างกระดูกอีกด้วย แล้วก็หาง่าย กินง่ายอีกด้วยครับ เลือกจากตารางได้เลยครับว่า ตัวไหนมีค่า PRAL มาก ชอบตัวไหนมากกว่า…เชิญเลยครับ
สรุป แล้วการปรับให้ร่างกายไม่ให้มีสภาวะเป็นกรด จะส่งผลดีต่อร่างกายหลายด้านอย่างที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นเพื่อการมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว จึงเป็นสิ่งที่เราควรหันมาสนใจ โดยป้องกันไม่ทำให้ร่างกายของเราเป็นกรดมากเกินไป โดยการบริโภคผักและผลไม้ให้มากกว่าที่ผ่านมา เพียงแค่นี้ก็สามารถจะแก้ไขปัญหาชีวิตไปได้ไม่น้อยเลยครับ